คนมีฐานะปานกลาง (หรือย่ำแย่ ) อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็อาจมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทที่มีมูลค่านับร้อยนับพันล้านบาทได้ หากเราลงทุนซื้อหุ้นกู้ของบริษัทนั้น เพราะผู้ถือ #หุ้นกู้ มีฐานะเป็น #เจ้าหนี้ ของบริษัท
ฟังดูเท่ไม่หยอกเหมือนกันนะ ยิ่งช่วงนี้มีหลายบริษัททยอยออกหุ้นกู้มาให้เลือกนับสิบ ๆ ตัว ก็ยิ่งเป็นโอกาสที่เราจะได้เลือก #ลูกหนี้ ที่จะจ่ายดอกเบี้ยให้เราอย่างสมน้ำสมเนื้อ and และมีเครดิตดี ๆ ไม่มีประวัติ #เบี้ยวหนี้
หุ้นกู้คืออะไร ? ใครออกหุ้นกู้ได้บ้าง ??
หุ้นกู้แบ่งเป็นสองประเภท คือ หุ้นกู้ธรรมดา (เรียกสั้น ๆ ว่า “หุ้นกู้” ) กับ #หุ้นกู้แปลงสภาพ ซึ่งทั้งสองแบบคือเครื่องมือในการระดมทุนของบรรดาบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนหรือขยายกิจการ แทนที่จะขอกู้จากธนาคาร หรือขายหุ้นบริษัท ก็ออกเป็นหุ้นกู้ขายให้ผู้สนใจ โดยให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย และเมื่อครบอายุก็จะคืนเงินต้นให้เหมือนกับการชำระหนี้คืน
ส่วนหุ้นกู้แปลงสภาพ จะมีเงื่อนไขพิเศษด้วยการให้ผู้ถือ “แปลงสภาพ” จาก “หุ้นกู้” เป็น “หุ้นสามัญ” ได้ตามข้อกำหนด หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า เปลี่ยนฐานะจาก “เจ้าหนี้” มาเป็น “เจ้าของร่วม” หรือเป็น “ผู้ถือหุ้น” นั่นเอง
แต่ไม่ใช่ว่าใคร ๆ ก็สามารถออกมาเสนอขายหุ้นกู้ได้ เพราะตามกฎหมายกำหนดว่าต้องเป็น “บริษัทไทย” หรือ “ธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาเต็มรูปแบบในไทย” เท่านั้น และก่อนเสนอขายจะต้องยื่นเรื่องขออนุมัติจาก ก.ล.ต.ซึ่งจะพิจารณาตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ก่อนทุกครั้ง
ใครมีสิทธิ์ซื้อ ? ซื้อได้ที่ไหน ??
ในที่นี้จะขอพูดถึงเฉพาะหุ้นกู้ธรรมดา เพราะหากเป็นผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้แปลงสภาพ น่าจะต้องมีความรู้ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่บ้างแล้ว
หุ้นกู้ที่บริษัทต่าง ๆ ออกมาเสนอขาย จะระบุไว้ตั้งแต่แรกว่าเสนอขายแก่ #บุคคลทั่วไป หรือ #นักลงทุนรายใหญ่ และ/หรือ #นักลงทุนสถาบัน หรือบางรายอาจระบุไว้เลยว่าเสนอขายเฉพาะ #นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง หรือ “วงแคบ” เท่านั้น ซึ่งหากเป็นหุ้นกู้ที่เสนอขายแก่บุคคลทั่วไป ใครที่มีเงินเพียงพอก็สามารถซื้อได้
ส่วน #นักลงทุนรายใหญ่ นั้น ก.ล.ต.กำหนดคุณสมบัติไว้อย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 ข้อ ว่าต้อง
มีรายได้ 4 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป
หรือ มีการลงทุนในหลักทรัพย์ทั่วไปที่มีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
หรือ มีทรัพย์สิน (ไม่นับรวมบ้านที่อยู่อาศัย) ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
บริษัทที่ออกหุ้นกู้จะแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์หรือธนาคารเป็น #ตัวแทนขาย เรียกว่า #Underwriter หรือ#Dealer ใครสนใจจะซื้อหุ้นกู้ตัวไหนก็ติดต่อผ่านตัวแทนเจ้านั้น ๆ ได้เลย
ปัจจุบันยิ่งสะดวกมากขึ้นเมื่อหุ้นกู้บางตัวสามารถซื้อ–ขายผ่าน #แอปเป๋าตัง ได้ด้วย โดยเมื่อเปิดแอปขึ้นมาแล้ว ให้เลื่อนหน้าจอไปทางซ้ายเรื่อย ๆ จะเจอหน้า “ซื้อขาย หุ้นกู้” กดเข้าไปแล้วทำตามขั้นตอนคำแนะนำ โดยครั้งแรกต้องเริ่มลงทะเบียนและทำแบบประเมินความเสี่ยงก่อน จากนั้นก็คอยติดตามข่าวว่าจะมีหุ้นกู้ตัวไหน เปิดให้จองซื้อในวัน–เวลาใด
(ภาพฟังก์ชัน “ซื้อขาย หุ้นกู้” ในแอป.เป๋าตัง)
ทางที่ดี ควรลงทะเบียน ทำแบบประเมินความเสี่ยงไว้ล่วงหน้า รวมทั้งอาจโอนเงินที่ต้องการลงทุนใส่ไว้ก่อน หรือผูกบัญชีลงทุนไว้กับบัญชีธนาคารที่มีเงินเพียงพอ เพราะบางครั้งหุ้นกู้ที่น่าสนใจอาจถูกจองซื้อหมดเร็วมากในเวลาเพียงไม่กี่นาที !! หากมัวแต่เร่ิมทำรายการลงทะเบียน ทำแบบประเมินความเสี่ยงก็จะชวดการจองซื้อ
วิธีเลือกหุ้นกู้
หุ้นกู้ที่เสนอขายแก่บุคคลทั่วไปนอกจากจะระบุอัตราดอกเบี้ย , อายุ (กี่ปี) , ช่วงเวลาจ่ายดอกเบี้ย เช่น ทุก3 เดือน หรือทุก 6 เดือนแล้ว ยังต้องมีอันดับเครดิตที่บ่งบอกความน่าเชื่อถือกำกับไว้ตามข้อบังคับของก.ล.ต. ซึ่งมีตั้งแต่ระดับสูงสุดคือ AAA จนถึงต่ำสุด D
หุ้นกู้ที่ได้อันดับเครดิต BBB- ขึ้นไป ถือว่าเป็นระดับที่ “น่าลงทุน” ส่วนที่ต่ำกว่านั้นเรียกว่า ระดับ “เก็งกำไร” หรือบางคนอาจเรียกว่าเป็น #JunkBond คือเร่ิมมีความเสี่ยงที่อาจผิดนัดชำระหนี้ หรือถึงขั้น ไม่สามารถชำระหนี้ได้
(ดูภาพประกอบ “อันดับเครดิตจะถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม”)
(ที่มา : เว็บไซต์สมาคมตราสารหนี้ไทย www.thaibma.or.th)
ผู้สนใจจะลงทุนในหุ้นกู้ สามารถดูรายละเอียด #หุ้นกู้ออกใหม่ ที่จะเสนอขายได้ทางเว็บไซต์ของสมาคมตราสารหนี้ไทย www.thaibma.or.th และเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. www.sec.or.th
แน่นอนว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง และคำกล่าวที่ว่า “High Risk High Return” ยังเป็นสัจธรรมอันเที่ยงแท้ การลงทุนในหุ้นกู้จึงควรพิจารณาปัจจัยทั้งสามประกอบกัน คือ ดอกเบี้ย อายุหุ้นกู้ และอันดับเครดิต โดยดูว่าเรารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน เงินที่จะนำไปลงทุนเป็น #เงินเย็น ตามอายุของหุ้นกู้หรือไม่ และก็นำมาซึ่งคำถามที่ว่า..
หากถือหุ้นกู้ที่ยังไม่ครบอายุ แต่ต้องการใช้เงินจะทำอย่างไร ?
ซื้อได้ ก็ย่อมขายได้ เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของหุ้นกู้ โดยการซื้อ–ขายเปลี่ยนมือสามารถทำได้ในตลาดที่เรียกว่า #ตลาดรอง แต่สภาพคล่องและราคาอาจแตกต่างและเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขและสภาพตลาด เช่นหากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเป็นขาขึ้น หุ้นกู้รุ่นเก่าที่เราถืออยู่ย่อมให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตัวใหม่ที่ออกมาในอายุและความเสี่ยงเท่ากัน ดังนั้นหากเราจะขายหุ้นกู้ตัวเก่าก็ย่อมต้องถูกหักลบราคาลงมา
ในสถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น เราได้เห็นบริษัทต่าง ๆ เสนอขายหุ้นกู้ออกมาอย่างต่อเนื่องเพราะต้องการ #ล็อกต้นทุน การเงินไว้ไม่ให้สูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยในตลาด แต่ในมุมของคนทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ หุ้นกู้ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และพันธบัตรรัฐบาล รวมทั้งเป็นอัตราคงที่และจ่ายตรงเวลาเหมือนเป็นรายได้ประจำ มีความมั่นคงพอสมควรตามอันดับเครดิตที่ประเมินจากประวัติการชำระหนี้ของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้
แถมยังเป็นโอกาสให้ได้คุยโวกับเพื่อนได้ด้วยว่า บรรดาเจ้าสัวที่ร่ำรวยมหาศาล ต่างเป็นลูกหนี้เราทั้งนั้น.
บรรณาธิการเศรษฐกิจ
ผู้เชี่ยวชาญสินทรัพย์ดิจิทัลแนะไม่รีบไม่โลภต้องขุดข้อมูลข่าวสารรอบตัว
8 เทรนด์กระเบื้องมาแรงปี 2025 “From Nature to Life” เชื่อมโยงธรรมชาติกับชีวิต
รู้ยังแอป Find My ของ Apple เปิดให้แชร์ตำแหน่งของหายกับบุคคลอื่นได้