เงื่อนไขที่ ‘แพลตฟอร์มดิจิทัล’ ต้องทำกับสิทธิที่ผู้ใช้ต้องรู้ก่อนปิดแอป
หลังโควิดผู้คนแทบทุกวัยคุ้นเคยและมีความเชี่ยวชาญ ใช้งาน “แพลตฟอร์มดิจิทัล” ทั้งซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ สั่งอาหาร รับชมความบันเทิง ไปจนถึงการสืบค้นข้อมูลสารพัด
ถ้าวันหนึ่งบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลหรือแอปพลิเคชันที่เราเคยใช้กันจนคุ้นเคย หรือเป็นแหล่งรายได้ของเรา เกิดยุติการให้บริการ หรือเลิกประกอบธุรกิจไป ผู้ใช้บริการที่มีการทำธุรกรรมต่างๆ บนแพลตฟอร์มอาจได้รับผลกระทบจากการเลิกประกอบธุรกิจของแพลตฟอร์มดิจิทัล จะทำอย่างไร ?
ETDA หรือสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ภายใต้กฎหมาย DPS หรือ Digital Platform Services เปิดข้อเงื่อนไขของประกาศที่เกี่ยวข้องภายใต้ กฎหมาย DPS ที่ ‘บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล’ ต้องทำก่อน เลิกประกอบธุรกิจ…พร้อมชี้ช่องรักษาสิทธิที่ ‘ผู้ใช้’ ต้องรู้!
กฎหมาย DPS ชี้ชัด ‘บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล’ ต้องแจ้งก่อนเลิกประกอบธุรกิจ
“พ.ร.ฎ. การประกอบธุรกิจบริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ.2565” หรือ กฎหมาย DPS (Digital Platform Services) ทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ให้บริการแก่คนไทย เพื่อให้ระบบนิเวศของการให้บริการแพลตฟอร์มมีความโปร่งใส เป็นธรรม
เมื่อผู้ใช้เข้าใช้งานแล้วเกิดปัญหาจากการใช้งาน เช่น ซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลแล้วถูกโกงถูกหลอก ผู้ใช้ก็สามารถเชื่อมั่นได้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือ มีช่องทางในการติดต่อทั้งผู้ขาย และผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมาย DPS ไม่เพียงกำหนดหน้าที่ให้แพลตฟอร์มดิจิทัล ที่เป็น “บริการสื่อกลาง” ต้องมาแจ้งข้อมูลการประกอบธุรกิจเมื่อเริ่มประกอบธุรกิจให้บริการเท่านั้น
แต่เมื่อต้องการจะเลิกประกอบธุรกิจบริการ หรือ ยุติการให้บริการก็ต้องมา “แจ้งเลิกประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล” ให้ สำนักงาน ในทีนี้หมายถึง ETDA รวมถึง ผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น พ่อค้าแม่ค้าบนแพลตฟอร์ม ผู้บริโภค รวมถึงไรเดอร์ เป็นต้น ทราบล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ใช้บริการมีเวลาในการปรับตัวและหาทางเลือกใหม่ในการเลือกใช้บริการ
แพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีคุณลักษณะไหนบ้าง? ที่ต้องแจ้งก่อนเลิกให้บริการ
ธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ต้องแจ้งให้ทราบก่อนเลิกประกอบธุรกิจหรือเลิกให้บริการ จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1.กลุ่มแพลตฟอร์มที่มีหน้าที่ต้องมาแจ้งเลิกประกอบธุรกิจ
กลุ่มนี้จะมีทั้งหมด 3 ประเภทตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่
แพลตฟอร์มดิจิทัลประเภททั่วไป ตาม มาตรา 8 วรรคหนึ่ง ที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (กรณีบุคคลธรรมดา) หรือ มีรายได้เกิน 50 ล้านบาทต่อปี (กรณีนิติบุคคล) หรือ มีผู้ใช้งานเกิน 5,000 รายต่อเดือน (โดยคำนวณจากการใช้งานเฉลี่ยต่อเดือนย้อนหลังตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานประกาศกำหนด)
แพลตฟอร์มดิจิทัล ตาม มาตรา 16 ที่เป็นบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีลักษณะให้บริการโดยคิดค่าบริการ, ให้บริการเป็นสื่อกลางในการเสนอสินค้าหรือบริการ, ผู้ประกอบธุรกิจมีสัญญากับผู้ประกอบการในการเสนอสินค้าหรือบริการ หรือเป็นบริการ search engine
แพลตฟอร์มดิจิทัล ตามมาตรา 18 วรรคสอง ที่มีขนาดใหญ่ มีรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายแต่ละประเภทบริการเกิน 300 ล้านบาทต่อปี หรือ รวมทุกประเภทเกิน 1,000 ล้านบาทต่อปี หรือ จำนวนผู้ใช้บริการเฉลี่ย (AMAU) เกิน 10% ของจำนวนประชากร หรือ แพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตามความเสี่ยงที่มีผลกระทบในระดับสูง ตามประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (คธอ.)
2.กลุ่มแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ขอความร่วมมือให้แจ้งเลิกประกอบธุรกิจ
แพลตฟอร์มดิจิทัลขนาดเล็ก ตามมาตรา 8 วรรคสามและวรรคสี่ ที่มีรายได้น้อยกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี (กรณีบุคคลธรรมดา) หรือ มีรายได้น้อยกว่า 50 ล้านบาทต่อปี (กรณีนิติบุคคล) หรือ มีผู้ใช้งานไม่เกิน 5,000 รายต่อเดือน หรือ แพลตฟอร์มที่มีผลกระทบต่ำ ตามประกาศ คธอ. นั่นเอง
ขั้นตอนที่ต้องทำ…ก่อนเลิกประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล
แพลตฟอร์มดิจิทัลทั่วไป ตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง ที่ถือเป็นบริการแพลตฟอร์มที่ให้บริการแก่คนไทยในวงกว้าง ประกาศฉบับนี้ได้กำหนดว่า หากจะต้องการเลิกประกอบธุรกิจ ก็จะต้องแจ้งวันที่จะเลิก ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน ก่อนวันที่จะเลิก เช่น ต้องการให้วันที่เลิกประกอบธุรกิจ มีผลวันที่ 1 สิงหาคม ก็ต้องดำเนินการแจ้งเลิกกับ ETDA และผู้ใช้บริการ ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน คือต้องแจ้งเลิกไม่เกินวันที่ 2 มิถุนายน เป็นต้น
ขณะที่แพลตฟอร์มดิจิทัลตามมาตรา 16 และมาตรา 18 วรรคสอง จะต้องแจ้งวันที่จะเลิกล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 120 วันโดยข้อมูลที่ต้องแจ้งให้ ETDA ทราบกรณีแจ้งเลิกประกอบธุรกิจ จะมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประสงค์จะเลิกประกอบธุรกิจ ข้อมูลเกี่ยวกับบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ข้อมูลเกี่ยวกับการเลิกประกอบธุรกิจ เช่น วันที่และเหตุผลที่จะเลิก ช่องทางหรือวิธีการที่จะประกาศการแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบ ผู้ประสานงาน และช่องทางการติดต่อ เป็นต้น
แผนมาตรการเยียวยา ! สิทธิที่ผู้ใช้บริการต้องรู้
การจัดทำแผน และมาตรฐานในการดูแล เยียวยาผู้ใช้บริการภายใต้ประกาศ คธอ. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้หรือเยียวยาผู้ใช้บริการซึ่งได้รับความเสียหายจากการใช้ บริการ หรือการอื่นที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองผู้ใช้บริการ
จะต้องมีมาตรการและกระบวนการในการดูแลผู้ใช้บริการก่อนเลิกประกอบธุรกิจ เช่น
1.แนวทางการหยุดการให้บริการเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการในการชดใช้หรือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการเลิกประกอบธุรกิจ
2. มาตรการในการชดใช้หรือเยียวยาผู้ใช้บริการที่ได้รับความเสียหาย เช่น การจัดการชำระหรือโอนค่าบริการ การคืนค่าบริการ หรือการเก็บรักษาค่าบริการของผู้ใช้บริการที่ไม่สามารถติดต่อได้หรือไม่ติดต่อขอรับภายในเวลาที่กำหนด รวมถึงการจัดการข้อมูลต่างๆ
3. กระบวนการจัดการข้อพิพาทและช่องทางการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใช้ ที่อย่างน้อยจะต้องมี กระบวนการจัดการเรื่องร้องเรียน, ช่องทางการให้ความช่วยเหลือและขั้นตอนการเยียวยาความเสียหาย
4. มาตรการอื่นๆ ที่ETDA อาจกำหนดเพิ่มเติม ถ้าบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลมีความเสียหายส่งผลกระทบต่อสาธารณะชนในวงกว้างหรือไม่สามารถระงับข้อพิพาทได้
ธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องการแจ้งเลิกประกอบธุรกิจสามารถแจ้งข้อมูลและ หลักฐานต่างๆ ผ่านระบบแจ้งการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลของ ETDA ได้ที่ลิงก์ https://eservice.etda.or.th/dps/th/login และหากบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับเงื่อนไขการแจ้งเลิกประกอบธุรกิจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 02-123-1234(ติดต่อทีมกำกับดูแลกฎหมาย DPS) ในช่วงวัน และเวลาราชการ (9.00-17.00 น.) หรือที่เพจ ETDA Thailand
ส่วนผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบจากบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล สามารถโทรแจ้งได้ที่ สายด่วน 1212 ETDA พร้อมรับเรื่องร้องเรียน ประสานงานการดูแลอย่างเต็มที่ ตลอด 24 ชั่วโมง
ติดตามข้อมูล ความรู้ เกี่ยวกับกฏหมาย DPS เพิ่มเติม ได้ที่ https://www.etda.or.th/th/regulator/Digitalplatform/index.aspx หรือที่เพจ ETDA Thailand
อีเลคโทรลักซ์เปิดศูนย์บริการซักอบผ้าฟรีช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม
ผัดกะเพรายืนหนึ่งเมนูสตรีทฟู้ดยอดฮิตแห่งปี 2567 บน foodpanda
กทม.และ TikTok ร่วมกันสร้างเมืองแห่งการแบ่งปันผ่าน #BKKFoodBank
8 เทรนด์กระเบื้องมาแรงปี 2025 “From Nature to Life” เชื่อมโยงธรรมชาติกับชีวิต