ฟุตบอลโลก 2022 ลุ้นถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
สุดท้ายก็เจ็บจริง
บ้างก็ว่า ปัญหามาจากกฎ #MustHave ของ กสทช.ที่บังคับให้ #ฟุตบอลโลก เป็น 1 ใน 7 รายการกีฬาที่คนไทยต้องได้ดูฟรี
บ้างก็ว่า เป็นเพราะการติดต่อซื้อลิขสิทธิ์เป็นไปอย่างล่าช้า
บ้างก็ว่า ค่าลิขสิทธิ์ที่แสนแพง
สรุปคือหลายสาเหตุประกอบกันทำให้คอบอลชาวไทยต้องลุ้นกันจนถึงช่วง #ทดเวลาบาดเจ็บ ทีเดียว กว่าจะได้ดู #ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022
ปัญหาเดิม ๆ ตั้งแต่ 8 ปีก่อน
จะว่าไปแล้ว ปัญหาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เราเพิ่งเคยเจอ เพียงแต่เราไม่เคยนำอดีตมาเป็นบทเรียนและเตรียมการป้องกันแก้ไขไว้แต่เนิ่น ๆ
กฎ Must Have ที่หลายคนบอกว่าเป็นความปรารถนาดีของ กสทช.ที่อยากให้คนไทยได้ชมรายการกีฬาสำคัญกันฟรี ๆ เคยก่อปัญหาตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2014 เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ทำให้บริษัทอาร์เอส ผู้ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดครั้งนั้นถึงขั้นยื่นฟ้องศาลปกครองจนชนะคดีไม่ต้องใช้กฎดังกล่าว แต่สุดท้ายแฟนบอลชาวไทยก็ได้ดูฟรี โดย คสช.สั่งให้ กสทช.แก้ปัญหาด้วยการควักกระเป๋าจ่ายชดเชยให้อาร์เอส
มาถึงฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย การคลี่คลายปมเรื่องดูฟรีตามกฎ Must Have ทำท่าจะดีหน่อย แต่กว่าจะลงตัวก็ต้องแอบลุ้นกันเหนื่อยพอสมควร เพราะทีแรกรัฐบาลจะให้ เครือข่ายโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย หรือ ทีวีพูล (ที่ไม่ใช่ของ “เจ๊ติ๋ม“) ไปซื้อลิขสิทธิ์ แต่เอาเข้าจริงพอเจอค่าลิขสิทธิ์แพงกว่า 1,000 ล้านบาท ทีวีพูลก็ลังเลไม่กล้าซื้อ
จนเมื่อ ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไปเจรจากับเอกชน 9 รายมาเป็นสปอนเซอร์ได้สำเร็จ และต้องไปขอให้บริษัททรูวิชั่นส์เป็นตัวแทนไปเซ็นสัญญา แล้วมาเฉลี่ยเวลาโฆษณากันตามสัดส่วนที่สปอนเซอร์แต่ละรายจ่าย
จบแต่เจ็บไปตาม ๆ กัน
หลังจบทัวร์นาเมนต์ที่รัสเซีย สำนักงาน กสทช.ได้ออกรายงานประเมินมูลค่ารายได้จากการโฆษณาตลอดช่วงเวลาถ่ายทอดสดทั้ง 64 แมทช์ พบว่า มีเม็ดเงินโฆษณารวมประมาณ 257 ล้านบาท เทียบกับค่าลิขสิทธิ์ที่ต้องจ่ายไปประมาณ 1,141 ล้านบาท บวกค่าดำเนินการทางเทคนิคอีกราว 260 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับสปอนเซอร์ทั้ง 9 รายที่มาร่วมลงขันต้องเฉลี่ยผลขาดทุนอ่วมไปตาม ๆ กัน
สะท้อนให้เห็นว่าทั้งกฎ Must Have ค่าลิขสิทธิ์ที่แพงหูฉี่ และการเจรจาที่ล่าช้า ล้วนเป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกจน
มาถึงฟุตบอลโลก 2022 แต่คราวนี้บารมีลุงป้อมคงไม่ขลังพอที่จะไป “หักคอ” สปอนเซอร์ที่เคยเจ็บตัวได้เหมือนเมื่อ 4 ปีก่อน
สิ่งที่หายไปจากฟุตบอลโลก
ในแง่เศรษฐกิจและธุรกิจ ก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยผลสำรวจแนวโน้มในช่วงที่มีฟุตบอลโลก 2022 ระหว่าง 20 พ.ย. – 18 ธ.ค.นี้ว่าน่าจะทำให้มีเม็ดเงินสะพัด “เฉพาะในระบบเศรษฐกิจ” ราว 18,500 ล้านบาท ไม่รวมเงินนอกระบบโดยเฉพาะจากการพนันอีกกว่า 57,000 ล้านบาท ทำให้มองว่าหากต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกว่า 1,000 ล้านบาทก็ยังถือว่าคุ้มค่า เพราะหากไม่มีการถ่ายทอดสด เม็ดเงินนี้จะหายไปราว 5,000-10,000 ล้านบาททีเดียว !!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไม่ได้ประเมินไว้ คือปัญหาการติดต่อเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ที่ล่าช้าจนเกิดความไม่แน่นอนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยกร่อยลงไปหรือไม่ เพียงใด ?!?
และเมื่อไทยได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดมาแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาอย่างไร้ข้อกังขา คือ ผลขาดทุนของบรรดาเอกชนที่มาร่วมลงขันเป็นสปอนเซอร์ ซึ่งจะมากหรือน้อยกว่าตัวเลขที่สำนักงาน กสทช.เคยรายงานไว้เมื่อ 4 ปีก่อน คงต้องตามดูต่อไป
อีกสิ่งหนึ่งที่จะหายไปจากฟุตบอลโลกครั้งนี้ คือคะแนนนิยมทางการเมือง จากที่รัฐบาลเคยใช้เป็นผลงานคืนความสุขให้ประชาชน ก็คงใช้ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน เพราะนอกจากข้อกังขาเรื่องที่มาของเงินที่นำไปจ่ายค่าลิขสิทธิ์แล้ว การดำเนินงานในช่วงประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมายังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาขลุกขลักมากมายที่ควรจะได้รับการป้องกันแก้ไขตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำ.
ข้อมูลเคียงข่าว :
ขอบคุณภาพจาก fifa.com
เวียตเจ็ทซื้อเครื่องบินแอร์บัสอีก 4 ลำ ขยายเส้นทางบินในหลายประเทศ
ตลาดบ้านมือสองปี 66 แนวโน้มสดใส ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ
8 เทรนด์กระเบื้องมาแรงปี 2025 “From Nature to Life” เชื่อมโยงธรรมชาติกับชีวิต
รู้ยังแอป Find My ของ Apple เปิดให้แชร์ตำแหน่งของหายกับบุคคลอื่นได้