เศรษฐกิจ

2566 ปีแห่งความท้าทาย ของกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้าน

10 มกราคม 2566

สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association:THBA) สรุปปริมาณตลาดบ้านสร้างเองทั่วประเทศในปี 2565 มีมูลค่ารวม 2 แสนล้านบาทเศษ แบ่งเป็นบ้านสร้างเองในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท และต่างจังหวัด มูลค่า 1.55 แสนล้านบาท

ผู้บริโภคเลือกใช้บริการธุรกิจรับสร้างบ้านหรือกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านทั่วประเทศ มูลค่าราว 2.4 – 2.5 หมื่นล้านบาทหรือคิดเป็น 12% ของมูลค่ารวมตลาดบ้านสร้างเอง โดยกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านมีส่วนแบ่งตลาดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มูลค่า 1.4 – 1.5 หมื่นล้านบาท และแชร์ตลาดในต่างจังหวัด คิดเป็นมูลค่า 1.0 – 1.1 หมื่นล้านบาท

นิรัญ โพธิ์ศรี นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาดบ้านสร้างเองทั่วประเทศในสัดส่วนที่เหลืออีก 88% หรือคิดเป็นมูลค่า 1.75 – 1.76 แสนล้านบาท ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงเลือกใช้บริการกับผู้รับเหมาสร้างบ้านรายย่อยและผู้รับเหมาทั่วไป ในอีกมุมหนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นโอกาสดี สำหรับกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านที่จะเพิ่มแชร์ส่วนแบ่งหรือขยายตลาดได้อีกมาก หากสามารถสร้างความเข้าใจและผู้บริโภคเข้าถึงได้สะดวก โดยเฉพาะตลาดบ้านสร้างเองในต่างจังหวัดมูลค่าอีกกว่า 1 แสนล้านบาท หากว่ากลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านที่แบรนด์น่าเชื่อถือ สามารถขยายสาขาและให้บริการในต่างจังหวัดได้มากขึ้น รวมทั้งกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่ตั้งอยู่ในต่างจังหวัด หากสามารถพัฒนาคุณภาพและบริการสร้างบ้านให้มีมาตรฐาน หรือเป็นบริษัทรับสร้างบ้านที่มีความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง เชื่อว่าโอกาสยังเปิดกว้างอีกมาก สำหรับการเติบโตและขยายตัวของมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านในปี 2566

สำหรับ มูลค่าตลาดบ้านสร้างเองปี 2566 สมาคมไทยรับสร้างบ้าน คาดว่ามีแนวโน้มทรงตัว หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 1.8 – 2 แสนล้านบาท เป็นผลมาจากราคาต่อหน่วยที่สูงขึ้นตามต้นทุนก่อสร้างและราคาบ้าน (จำนวนหน่วยลดลง) ในส่วนของกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้าน สมาคมไทยรับสร้างบ้าน คาดว่าจะมีส่วนแบ่งจากมูลค่าตลาดบ้านสร้างเอง ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด มูลค่าประมาณ 2.5 – 2.6 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

ปี 2566 อาจนับได้ว่าเป็นปีแห่งความท้าทายของกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านอีกปีหนึ่ง ทั้งไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งต้องการสร้างบ้านที่ให้มากกว่าแค่ที่พักอาศัยทั่วไป ฉะนั้นความพยายามจะรักษาหรือเพิ่มแชร์ส่วนแบ่งตลาดทั่วประเทศ จึงจำเป็นที่กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านควรจะมีการปรับตัวไปในทิศทางที่สอดคล้องกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยคำนึงถึง 5 ปัจจัยสำคัญ ๆ ได้แก่ 1.การยกระดับมาตรฐานการสร้างบ้านและอยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ 2.กำหนดตำแหน่งทางการตลาดของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายขององค์กรให้ชัดเจน 3.การขยายพื้นที่ให้บริการหรือการขยายสาขา 4.เน้นแข่งขันเชิงคุณภาพและบริการ อันเป็นการสร้างความแตกต่างจากผู้รับเหมาสร้างบ้านรายย่อยทั่วไป และสุดท้าย 5.คุณภาพบ้านกับราคาต้องสมเหตุสมผล นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวสรุป