เศรษฐกิจ

เกาะติดเทรนด์คนหาบ้าน มากกว่าครึ่งยังอยากซื้อบ้าน แม้โดนสกัดด้วยอุปสรรคทางการเงิน

26 กันยายน 2566

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังกระเตื้องขึ้นตามความคาดหวัง หลังจากหลายฝ่ายเคยคาดการณ์ว่าตลาดท่องเที่ยวจะกลับมาเติบโตและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง ประกอบกับช่วงสุญญากาศของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ผู้บริโภคจึงต้องรัดเข็มขัดและวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ และติดตามนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 56.9 เพิ่มจาก 55.6 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผู้บริโภคกลับมามีความเชื่อมั่นหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เรียบร้อย

สอดคล้องกับข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคชาวไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 50% จากเดิม 49% ในรอบก่อน สะท้อนให้เห็นว่าความชัดเจนทางการเมืองเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยขับเคลื่อนความเชื่อมั่นผู้บริโภคให้กลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ความท้าทายทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังคงกระทบต่อสภาพคล่องของผู้บริโภคโดยตรง ส่งผลให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ 63% (จากเดิม 65% ในรอบก่อนหน้า) โดยมีผู้บริโภคเพียง 15% เท่านั้นที่มองว่ารัฐบาลมีความพยายามเพียงพอที่จะช่วยให้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้ ลดลงจาก 19% ในรอบก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยปัจจุบันนั้นยังคงทรงตัวอยู่ที่ 65% โดยผู้บริโภคเกือบครึ่ง (47%) เผยว่ามีความพึงพอใจเนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยในเวลานี้ยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ตามมาด้วยมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยมีเสถียรภาพและยืดหยุ่น และเห็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ในสัดส่วนเท่ากันที่ 36%

จับตาความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย คนไทยมีความพร้อมทางการเงินมากแค่ไหน?

ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (53%) วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากเดิมซึ่งคือ 52% ในรอบก่อนหน้า ถือเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น แม้ความท้าทายจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ จะยังไม่คลี่คลายก็ตาม ขณะที่สัดส่วนของผู้เลือกเช่าที่อยู่อาศัยยังทรงตัวอยู่ที่ 9% ส่วนอีก 38% ยังไม่มีการวางแผนซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยใด ๆ

  • คนซื้อบ้านเพิ่มพื้นที่ส่วนตัว แต่ความพร้อมการเงินลดลง เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเกือบครึ่ง (44%) ตัดสินใจซื้อที่อาศัยมาจากต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากที่สุด รองลงมาคือ ซื้อเพื่อการลงทุน (28%) และต้องการพื้นที่สำหรับพ่อแม่/บุตรหลานเพื่อรองรับการขยายครอบครัว (24%) อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาความพร้อมทางการเงินของผู้บริโภคพบว่ากลับมีแนวโน้มลดลง มีผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยเพียง 24% เท่านั้นที่มีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง โดยสัดส่วนลดลงจาก 32% ในรอบก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของเศรษฐกิจที่มีต่อการวางแผนการเงินอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นที่ส่งผลต่อการซื้อและการผ่อนชำระอสังหาฯ โดยตรง ขณะที่ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (54%) เผยว่าเก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น ส่วน 1 ใน 5 ของผู้วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยนั้น (21%) ยังไม่ได้เริ่มแผนเก็บเงินใด ๆ เลย
  • “เงินไม่พอ-บ้านแพงเกินเอื้อม” ผลักดันให้เช่า เหตุผลหลักของผู้ที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้านั้น เกือบ 2 ใน 3 (64%) เผยว่ายังไม่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัย ขณะที่ 2 ใน 5 (41%) มองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพงเกินไป จึงเลือกเก็บเงินไว้แทน และไม่เห็นความจำเป็นหรือความเร่งด่วนที่ต้องซื้อในเวลานี้ (30%) สะท้อนให้เห็นว่าความท้าทายทางการเงินยังคงมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนใจจากการซื้อมาเช่าแทน เทรนด์ Generation Rent ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากมุมมองการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ได้เปลี่ยนไป ผู้บริโภคไม่ต้องการเพิ่มค่าใช้จ่ายจากการซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่เป็นภาระผูกพันในระยะยาว นอกจากนี้ การเช่ายังได้เปรียบตรงที่ยืดหยุ่นและคล่องตัวมากกว่าหากต้องการโยกย้ายที่อยู่อาศัยในอนาคต

หวังรัฐบาลใหม่ออกมาตรการเพิ่ม ช่วยขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ โตส่งท้ายปี

สภาพเศรษฐกิจยังเป็นปัจจัยหลักที่กระทบต่อสภาพคล่องและแผนการเงินของผู้บริโภค ทำให้ความสามารถในการใช้จ่ายลดลง โดยเฉพาะในการซื้ออสังหาฯ ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องมีการวางแผนก่อนตัดสินใจซื้อ มีราคาสูง และมีระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มอย่างต่อเนื่องได้สร้างความกังวลให้กับผู้บริโภคเช่นกัน จึงทำให้ตลาดอสังหาฯ ไม่เติบโตคึกคักอย่างที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ผู้บริโภคกว่า 1 ใน 3 (34%) ตัดสินใจชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อนเนื่องจากเงินเก็บได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ ตามมาด้วย 22% ไม่มีแผนซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคตอันใกล้นี้ และอีก 20% วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยที่มีราคาถูกลงแทน

อย่างไรก็ดี หลังจากมีการแต่งตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จสิ้น ถือเป็นการจุดประกายให้ภาคอสังหาฯ มีความหวังอีกครั้ง ผู้บริโภคต่างคาดหวังและตั้งตารอมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ของรัฐบาลชุดนี้ที่จะออกมาในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางและล่าง ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่ยังคงเผชิญความท้าทายทางการเงินมากกว่ากลุ่มอื่น

  • 3 อันดับมาตรการฯ อสังหาเดิมที่คาดหวังให้รัฐบาลใหม่สานต่อ มากกว่า 2 ใน 3 (69%) ต้องการให้ภาครัฐสานต่อมาตรการลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์และการจำนองอสังหาริมทรัพย์ ตามมาด้วยมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ Loan to Value: LTV (47%) และต้องการให้ขยายระยะเวลาเช่าให้มากกว่า 30 ปี (44%) ซึ่งคาดว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยขับเคลื่อนให้การซื้อขายอสังหาฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง
  • ขณะที่มาตรการฯ ใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาลในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่กว่า 2 ใน 3 (68%) ต้องการให้มีมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ตามมาด้วยมาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งสินเชื่อที่มีอยู่และกู้ใหม่ (65%) และมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก (54%) ซึ่งมาตรการเหล่ามีความครอบคลุมและส่งเสริมการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยทั้งในกลุ่ม Real Demand และกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้การซื้อขายในตลาดอสังหาฯ กลับมาคึกคักได้อีกครั้ง