สุขภาพ

25 ก.ค. วันป้องกันการจมน้ำโลก  

25 กรกฎาคม 2566

ในปี 2564 ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติได้มีมติเรื่อง Global Drowning Prevention กำหนดให้วันที่ 25 กรกฎาคมของทุกปีเป็นวันป้องกันการจมน้ำโลก และในปีนี้ องค์การอนามัยโลกได้กำหนดแนวคิด  “Do one thing – Improve one thing – Add one thing” เพื่อให้ทุกประเทศทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อดำเนินงานป้องกันการจมน้ำ ซึ่งสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่ระดับบุคคล เครือข่าย หรือภาครัฐ

นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การจมน้ำยังคงเป็นปัญหาสำคัญทางด้านสาธารณสุขทั่วโลก จากข้อมูลองค์การอนามัยโลกพบว่า ในแต่ละปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำประมาณ 236,000 คน โดย 1 ใน 4 เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งในกลุ่มเด็กอายุ 5 – 14 ปีนั้น พบว่าการจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1

สำหรับประเทศไทย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556 – 2565) มีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำ 36,403 คน เฉลี่ยปีละ 3,640 คน หรือวันละกว่า 10 คน โดยในจำนวนนี้ เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 6,992 คน สาเหตุหนึ่งที่พบบ่อยคือ ขาดทักษะการเอาชีวิตรอดและการช่วยเหลือคนตกน้ำ/จมน้ำ ที่ถูกต้อง

ด้าน นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้กำหนดจัดกิจกรรมรณรงค์วันป้องกันการจมน้ำโลก (World Drowning Prevention Day) ปี 2566 ขึ้น โดยกำหนดแนวคิดให้สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก คือ “เริ่มทำ – ทำต่อ – ต่อขยาย คนไทยไม่จมน้ำ”

เริ่มทำ คือ เริ่มลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการจมน้ำโดยเริ่มต้นจากตัวบุคคล เครือข่าย หน่วยงานหรือองค์กร ทำต่อ คือ ทำสิ่งที่มีอยู่เดิมหรือปรับปรุงสิ่งที่ทำอยู่แล้วให้ดีขึ้น ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายหรือหน่วยงานอื่นๆ ในการดำเนินงานป้องกันการจมน้ำ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเสี่ยงได้มากขึ้น ต่อขยาย คือ การผลักดัน เพิ่มกลยุทธ์และวิธีการดำเนินงานป้องกันการจมน้ำอย่างเป็นวงกว้าง ลดปัญหาการจมน้ำในพื้นที่ เช่น ให้หน่วยงานสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้มีการดำเนินงานป้องกันการจมน้ำผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย, สนับสนุนให้เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มีพื้นที่เล่นที่ปลอดภัย มีรั้ว/ผนังกั้นล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน, สนับสนุนให้เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป และประชาชนได้เรียนหลักสูตรว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด รวมทั้งความรู้เรื่องความปลอดภัยทางน้ำ การเอาชีวิตรอดในน้ำ การช่วยเหลือคนตกน้ำ/จมน้ำ, สนับสนุนให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปและประชาชน มีทักษะการปฐมพยาบาลและการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) คนตกน้ำ/จมน้ำที่ถูกต้อง และสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้บุคลากรในองค์กรเป็นต้นแบบการมีพฤติกรรมป้องกันการจมน้ำที่ถูกต้อง เช่น การสวมเสื้อชูชีพทุกครั้งที่เดินทางทางน้ำ ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนหรือขณะทำกิจกรรมทางน้ำ เป็นต้น