การ์ทเนอร์เผยองค์กรต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญกับ 5 แนวโน้มด้านความเป็นส่วนตัว เพื่อรับมือต่อความท้าทายสำหรับปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและปฏิบัติตามกฎระเบียบความเป็นส่วนตัวทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นาเดอร์ เฮเนน รองประธานฝ่ายวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ภายในสิ้นปี พ.ศ.2567 คาดว่า75% ของประชากรทั่วโลกจะมีข้อมูลส่วนบุคคลอยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับความเป็นส่วนตัวที่ทันสมัยโดยวิวัฒนาการของกฎระเบียบเหล่านี้เป็นปัจจัยเร่งสำคัญ ทำให้การดำเนินงานด้านความเป็นส่วนตัวมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น
ด้วยความพยายามผลักดันกฎระเบียบความเป็นส่วนตัวให้ขยายวงกว้าง คาดว่า สองปีข้างหน้านี้หลายองค์กรต่างเล็งเห็นความจำเป็นและเริ่มโครงการความเป็นส่วนตัว การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า งบประมาณประจำปีด้านความเป็นส่วนตัวโดยเฉลี่ยขององค์กรขนาดใหญ่จะสูงกว่า 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2567
สำหรับ 5 แนวโน้มด้านความเป็นส่วนตัว ซึ่งจะเป็นเทรนด์ที่จะได้เห็น ดังนี้
ปรับข้อมูลให้เหมาะกับท้องถิ่น (Data Localization)
ในสังคมดิจิทัลที่ไร้พรมแดน การพยายามหาหนทางควบคุมประเทศที่มีข้อมูลอยู่นั้นดูเหมือนจะขัดกับความรู้สึก อย่างไรก็ตาม การควบคุมนี้เป็นข้อกำหนดโดยตรงหรือเป็นผลพลอยได้จากกฎหมายความเป็นส่วนตัวที่เกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก การวางแผน Data Localization จะเปลี่ยนลำดับความสำคัญสูงสุดในการออกแบบและการจัดหาบริการคลาวด์
เทคนิคการประมวลผลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความเป็นส่วนตัว (Privacy-Enhancing Computation Techniques)
การประมวลผลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความเป็นส่วนตัว (หรือ PEC) ต่างจากการควบคุมความปลอดภัยในข้อมูลที่พักนิ่งทั่วไป (Data-At-Rest) กล่าวคือ สามารถปกป้องข้อมูลในขณะที่ใช้งานอยู่ ส่งผลให้องค์กรสามารถใช้รูปแบบการประมวลผลข้อมูลและการวิเคราะห์ที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำได้มาก่อน เนื่องจากติดปัญหาความเป็นส่วนตัวหรือความปลอดภัยได้ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2568 องค์กรขนาดใหญ่ 60% จะใช้เทคนิคของ Privacy-Enhancing Computation อย่างน้อยหนึ่งเทคนิคเพื่อการวิเคราะห์ หรือใช้ในธุรกิจอัจฉริยะ หรือเพื่อการประมวลผลบนคลาวด์
การกำกับดูแลด้วยเทคโนโลยี AI (AI Governance)
ผลสำรวจของการ์ทเนอร์ พบว่า 40% ขององค์กรมีการละเมิดความเป็นส่วนตัวจาก AI แต่มีเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้นที่เป็นอันตราย ไม่ว่าองค์กรจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลผ่านโมดูลที่ใช้ AI ที่รวมอยู่ในข้อเสนอของผู้จัดจำหน่าย หรือจากแพลตฟอร์มแยกที่จัดการโดยทีมวิทยาศาสตร์ข้อมูลภายในองค์กรความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในทางที่ผิดนั้นยังคงมีอยู่
ประสบการณ์ความเป็นส่วนตัวแบบรวมศูนย์ UX (Centralized Privacy UX)
องค์กรที่มองการณ์ไกลและเข้าใจถึงข้อดีของการนำ UX ด้านความเป็นส่วนตัวมารวมกัน ทั้ง การแจ้งเตือน คุกกี้ การจัดการความยินยอม และการจัดการคำขอใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล (หรือ SRR) ภายในปี พ.ศ.2566 การ์ทเนอร์คาดว่า 30% ขององค์กรที่ให้บริการโดยตรงกับผู้บริโภคจะเสนอพอร์ทัลความโปร่งใสแบบบริการตนเองเพื่อจัดเตรียมการตั้งค่าและการจัดการความยินยอม
จากรีโมทกลายเป็น “ทุกอย่างต้องไฮบริด” (Remote Becomes “Hybrid Everything”)
องค์กรควรใช้แนวทางความเป็นส่วนตัวที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง และควรใช้ข้อมูลเพื่อนำมาตรวจสอบให้น้อยที่สุด ต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น ใช้ปรับปรุงประสบการณ์ของพนักงานโดยขจัดแรงต้านที่ไม่จำเป็นหรือลดความเสี่ยงจากภาวะหมดไฟทำงานด้วยการทำเครื่องหมายกำหนดความเสี่ยงด้านความเป็นอยู่ที่ดี
อ่านผลสำรวจฉบับเต็มได้ที่ ของการ์ทเนอร์ได้ที่ Top Trends in Privacy Driving Your Business Through 2024 และ www.gartner.com/en/information-technology.
รู้ยังแอป Find My ของ Apple เปิดให้แชร์ตำแหน่งของหายกับบุคคลอื่นได้