เศรษฐกิจ

ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงทรงตัว

7 กันยายน 2566

ข้อมูลจาก บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย พบว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในไตรมาส 2 มีอุปทาน (Supply) เปิดขายใหม่จำนวนทั้งสิ้น 11,930 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ อุปสงค์ (Demand) ของอุปทานใหม่ที่เปิดขาย ณ ไตรมาส 2 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,324 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายที่ร้อยละ 27.9 ลดลงจากไตรมาสที่แล้วอยู่ที่ร้อยละ 14.5

จากข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในไตรมาส 2 ยังคงทรงตัว อุปทานใหม่มีการเปิดตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่หากเทียบกำลังซื้อที่กลับมาอย่างค่อยเป็นค่อยไปทำให้การฟื้นตัวของอุปสงค์ตามไม่ทันอุปทาน สะท้อนจากจำนวนหน่วยเหลือขายสะสมของโครงการในระดับราคาต่ำที่ยังคงมีเพิ่มขึ้นในตลาด

ปัญหาหลักของตลาดคือกลุ่มผู้ซื้อระดับล่างที่มีความต้องการมากแต่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูง ซึ่งสวนทางกับตลาดกลุ่มกลางที่มีความต้องการน้อยลงแต่ไม่มีปัญหาในการถูกปฏิเสธสินเชื่อเชื่อ

สำหรับราคาเสนอขายคอนโดมิเนียมในไตรมาสที่ 2 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกพื้นที่ โดยราคาเสนอขายคอนโดมิเนียมในบริเวณศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) อยู่ที่ประมาณ 248,000 บาท/ ตร.ม. เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ร้อยละ 1.72 ราคาเสนอขายคอนโดมิเนียมในบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) อยู่ที่ประมาณ 121,300 บาท / ตร.ม. เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ร้อยละ 1.85 ในขณะที่ราคาเสนอขายของคอนโดมิเนียมในบริเวณชานเมืองกรุงเทพมหานครอยู่ที่ประมาณ 68,000 บาท / ตร.ม. ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ร้อยละ 3.0

บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย คาดว่าในครึ่งปีหลังตลาดจะยังคงมีทิศทางที่ทรงตัวอยู่เพราะชาวต่างชาติที่เข้ามาส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มในเชิงเน้นท่องเที่ยวมากกว่าที่จะเข้ามาลงทุน กลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาวขยายตัวได้ดีในบางพื้นที่ และมองหาทำเลใหม่ๆ ในการอยู่อาศัยมากขึ้น อาทิ ทำเลย่านชานเมืองตามแรวรถไฟฟ้าและต่างจังหวัด

ตลาดคอนโดมิเนียมมือสองเป็นตลาดที่นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจ โดยยังคงพิจารณาทำเลที่อยู่แนวรถไฟฟ้าเป็นหลัก ในขณะที่คอนโดมิเนียมที่เป็นทรัพย์ NPL ก็ได้รับความสนใจไม่น้อยเพราะมีราคาเป็นที่ดึงดูด

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มากขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลาง-ล่าง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีสภาพคล่องทางการเงินที่เปราะบาง สะท้อนได้จากที่ธนาคารยึดทรัพย์มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ธนาคารยังระมัดวังในการปล่อยสินเชื่อให้กลับกลุ่มผู้ซื้อดังกล่าว