เมื่อเริ่มอายุมากขึ้น การบาดเจ็บจากการชนหรือล้มก็ดูจะรุนแรงขึ้นกว่าที่เคย อาจเป็นสัญญาณเตือนของ ‘โรคกระดูกพรุน’ หากปล่อยไว้นานและไม่ได้รับการรักษาอาจถึงขั้นกระดูกหักได้ง่าย ๆ
พญ. อติพร เทอดโยธิน ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ ศูนย์กระดูกและข้อ รพ.วิมุตผู้เชี่ยวชาญด้านโรคกระดูกพรุน เเละการดูเเลกระดูกเเละกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุจากอังกฤษ เเละเวชศาสตร์การชะลอวัยจากสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า โรคกระดูกพรุนส่วนใหญ่จะพบในผู้สูงอายุ เกิดจากการที่มวลกระดูกในร่างกายลดลง ส่งผลให้กระดูกบางลงและไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ถึงขั้นที่ว่าแค่ล้มเบา ๆ หรือยกของหนักก็ทำให้กระดูกหักได้
โรคกระดูกพรุนมักเกิดกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปจะมีโอกาสเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนประมาณ 33% ส่วนเพศชายจะอยู่ประมาณ 20% โดยทั่วไปแล้ว โรคนี้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชายเพราะกระดูกของผู้หญิงมีขนาดเล็กกว่า และเมื่อผู้หญิงเริ่มเข้าสู่วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงที่ช่วยยับยั้งการสลายตัวของกระดูกจะลดลง ส่งผลให้กระดูกสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากโรคกระดูกพรุนเกิดจากการที่มวลกระดูกของเราลดลง ดังนั้นการป้องกันจึงเริ่มต้นจากการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น คือ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินดี เเละออกกำลังกายให้เพียงพอ และดูแลไม่ให้น้ำหนักอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ดัชนีมวลกาย (Body mass index; BMI) พร้อมหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่
พญ. อติพร เทอดโยธิน อธิบายเสริมว่า โรคกระดูกพรุนถือว่าเป็นภัยเงียบ เพราะไม่มีการแสดงอาการใด ๆ เลย รู้ตัวอีกทีก็อาจเป็นตอนที่ล้มกระดูกหักไปแล้ว เราจึงต้องไปตรวจคัดกรอง โดยเฉพาะเมื่อถึงช่วงวัยที่เสี่ยง คือหลังหมดประจำเดือน หรืออายุ 65 ปีขึ้นไป ยิ่งถ้ามีโรคประจำตัวหรือมีความเสี่ยงอื่นๆ ก็ควรมาตรวจตัดกรองเร็วขึ้น การวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุนจะใช้เครื่อง Dual X-ray Absorptiometry (DXA) เพื่อหามวลกระดูก ตรวจ Vertebral Fracture Assessment (VFA) ซึ่งเป็นการตรวจหาภาวะกระดูกสันหลังหักยุบ ควบคู่กับการซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อคำนวณหา FRAX Score ซึ่งเป็นการประเมินความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนในอีก 10 ปีข้างหน้า หากผลการตรวจออกมาว่าเป็นโรคกระดูกพรุนก็จะได้รับการรักษาต่อไปตามความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย
สำหรับคนที่มีภาวะกระดูกบางแต่ยังไม่ถึงขั้นกระดูกพรุน สามารถรักษาได้ด้วยตนเองโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเน้นอาหารที่มีประโยชน์ และหมั่นออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ป้องกันการหกล้ม ทำกิจกรรมกลางแจ้งเพื่อเสริมระดับวิตามินดีในร่างกาย ควบคู่ไปกับการรับประทานแคลเซียม และวิตามินดีเสริมตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนในกรณีที่มีการใช้ยาที่มีผลต่อมวลกระดูก เช่น ยาประเภทสเตียรอยด์ หรือยารักษาโรคมะเร็งบางชนิด แนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที
ถ้าหากพบว่าเป็นโรคกระดูกพรุนแล้ว การรักษาก็จะเป็นไปตามความรุนแรงของโรค โดยเริ่มจากการปรับอาหาร การออกกำลังกาย เเละไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสม พร้อมกับการให้ยารักษาโรคกระดูกพรุนร่วมด้วย ซึ่งตัวยาจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ยาเพิ่มการเสริมสร้างกระดูกและยายับยั้งการสลายกระดูก ทั้งนี้ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดตลอดการใช้ยาและการรักษา
“แม้ว่าโรคกระดูกพรุนจะพบมากในผู้สูงวัย แต่สิ่งที่เราทำได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ คือการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงไว้ตั้งแต่วัยรุ่น และหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปีโดยไม่ต้องรอให้เจ็บหนัก หากพบว่ามีความเสี่ยงหรือเป็นโรคกระดูกพรุนจะได้รักษาได้ทันเวลา เพื่อให้เรามีสุขภาพที่ดี และมีความสุขได้ในทุก ๆ วัน” พญ. อติพร เทอดโยธิน กล่าวสรุป
รู้ยังแอป Find My ของ Apple เปิดให้แชร์ตำแหน่งของหายกับบุคคลอื่นได้