อยากไปเยือนบ้านอีต่อง อ.ทองผาภูมิ กาญจนบุรี มานานแล้ว แต่ติดขัดที่ยานพาหนะที่มีก็ล้วนเป็นรุ่นเจ้าคุณพ่อ เจ้าคุณปู่ จะพาไปปีนป่ายตะกายเขาก็เกรงจะเจ็บทั้งรถและกระเป๋าตังค์
สองสัปดาห์ก่อน ทีมพีอาร์ฟอร์ด ชวนให้เอารถ Ford Everest Wildtrak ไปทดสอบการใช้งานแบบลุย ๆ
ความฝันจึงเป็นจริง จะรอช้าอยู่ใย ชวนกันไปลุยบ้านอีต่อง หน้าฝน เร็วพลัน
บ้านอีต่อง สายฝนสายหมอกชวนฝัน
เราใช้เวลา 3 วัน 2 คืน เริ่มจากบ้านอีต่อง อีกคืนขับรถลงมานอนที่สะพานมอญ อ.สังขละบุรี
หมู่บ้าน “อีต่อง” เพี้ยนมาจากคำว่า “ณัตเอ่งต่อง” โดยคำว่า “ณัต” แปลว่าเทพเจ้าหรือเทวดา ส่วนคำว่า “เอ่ง” แปลว่า บ้าน และคำว่า “ต่อง” แปลว่า ภูเขา (ทินกร, สัมภาษณ์, 18 ตุลาคม 2561) จึงมีความหมายโดยรวมว่า “บ้านแห่งภูผาหรือบ้านแห่งเทพเจ้า/เทวดา” หรือ “บ้านเทพเจ้าแห่งขุนเขา”
ขอบคุณข้อมูล ประวัติ บ้านอีต่อง https://rlocal.kru.ac.th/?p=7154
เส้นทางขึ้นสู่บ้านอีต่อง ถนนโค้งคดเคี้ยวไม่แพ้เส้นทาง เชียงใหม่ – ปาย แต่ถนนไปบ้านอีต่องแคบกว่า และมีการปรับปรุงเส้นทางบางช่วง
แต่ Ford Everest Wildtrak ไม่ทำให้รู้สึกกลัว ตลอดเส้นทางเห็นคุณงามความดีของสมรรถนะรถตลอดเวลา
การเดินทางขึ้นเขาหน้าฝน เราเจอสายหมอกเป็นระยะ จนถึงบ้านอีต่อง ยามเย็น สายหมอกก็ยังคลอเคลียจนถึงระเบียงบ้านพัก
ตอนกลางคืนบ้านอีต่อง สงบเงียบ หลังสี่ทุ่มยิ่งเงียบ รู้สึกชีวิตสโลว์ไลฟ์ นาฬิกาเดินช้า ที่พักไม่มีแอร์ แต่นอนหลับเย็นสบาย
คนบ้านอีต่อง บอกว่า หน้าฝนหน้าหนาวอากาศหนาวเย็น หน้าร้อนกลางวันประมาณ 30-32 องศาเซลเซียส แต่กลางคืนก็อากาศเย็น
ตื่นตอนเช้า หมอกปกคลุมทั้งหมู่บ้านเป็นระยะ ให้บรรยากาศโรแมนติกชวนฝัน เหมือนเดินอยู่ในซาปา เวียดนาม รีบคว้าร่มพลาสติกใสที่มีแขวนไว้ให้ทุกบ้าน เดินออกไปถ่ายรูป เดินไปเหมืองปิล๊อก บรรยากาศสุดจะฟินจริงๆ
กินอาหารเช้าเสร็จ ยังเห็นหมอกจางๆ ระยะการมองเห็นต่ำมาก แต่ก็ชักชวนกันขับรถขึ้นเนินช้างศึก แค่แยกออกจากทางหลัก ก็เปลี่ยนเป็นเส้นทางขรุขระ ตลอดทาง อีกฝั่งเป็นเหวลึก แต่ Ford Everest Wildtrak เอาอยู่
ลงจากเนินช้างศึก สภาพอากาศทัศนวิสัยดี รีบแวะไปถ่ายรูปน้ำตกจ๊อกกระดิ่น เห็นสายน้ำไหลลงมาจากซอกหินสวยงามมาก
สะพานมอญ
จากนั้นเราขับรถมุ่งหน้า สะพานมอญ อ.สังขละบุรี ขึ้นลงภูเขาผ่านเส้นทางคดเคี้ยว บนถนนมีรถบรรทุกขนาดใหญวิ่งสวนทางตลอดเวลา เพราะใกล้ด่านเจเดีย์สามองค์
คืนที่สองเข้าที่พักสามประสบรีสอร์ต ใกล้สะพานมอญ ช่วงเย็นเหมาเรือออกไปดูวัดเก่าจมน้ำ ก่อนจะกลับเข้าที่พัก นั่งชมวิวหน้าระเบียงแล้วรีบเข้านอน เพราะตอนเช้ามืดจะไปรอใส่บาตรและถ่ายรูปที่สะพานมอญ
กลับถึงบ้านปลอดภัย
ได้ขับ Ford Everest Wildtrak แบบลุยๆ มา 3 วัน โชเฟอร์ของเราบอกว่า แม้จะฝนตกถนนลื่น ไม่รู้สึกเลยว่าเป็นอุปสรรคต่อการขับขี่ ด้วยความรถใหญ่และสูง ทำให้มีทัศนวิสัยดี รถเกาะถนน ออกตัวทันใจ
ถามว่ากินน้ำมันมั๊ย ก็พอสมควร ประมาณ 10 กม./ลิตร ใช้เกียร์ครบทุกอย่างที่มีในรถ
การเชื่อมต่อระบบนำทางนั้นไม่ซับซ้อน มีให้เลือกทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto แผนที่บนมือถือก็ย้ายมาอยู่บนจอใหญ่ในรถ รวมทั้งเพลย์ลิสต์เพลงโปรด ระบบเครื่องเสียงในรถดังกระหึ่มดีจริง
Ford Everest Wildtrak
ในรถมีหน้าจอแสดงผล Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว พร้อม SYNC® 4A เป็นจอทัชสกรีนแนวตั้งขนาด 12 นิ้วที่ควบคุมระบบอินโฟเทนเมนต์ SYNC® 4A ของฟอร์ด พร้อมหน้าจอแยกที่ปรับแต่งได้และแผงแสดงข้อมูลตามต้องการที่พร้อมใช้งานที่ด้านล่างของจอ โดยจะแสดงข้อมูลสำคัญต่าง ๆ เช่น ระบบนำทางของรถหรือที่เชื่อมต่อสมาร์ตโฟน
เวลาจอด รถจะไปเกียร์ P เอง มันรู้สึกว้าวมาก
คุณสมบัติเด่นของ Ford Everest Wildtrak เครื่องยนต์ Bi-Turbo 2.0 ลิตรอันทรงพลัง ให้กำลังสูงสุด 210PS แรงบิด 500Nm ที่ผ่านการทดสอบอย่างสุดขั้น เพื่อให้แน่ใจถึงสมรรถนะและความเชื่อมั่นระดับพรีเมียม
ไฟหน้า Matrix LED พร้อมไฟสูงแบบ Glare-free Everest Wildtrak จะตรวจจับแสงสว่างจากผู้ขับขี่ฝั่งตรงข้าม และบล็อกแสงจ้าที่อาจทำให้ผู้ขับขี่ตาพร่า และยังมี Static และ Dynamic Bending Lights ด้วย
ข้อมูลทางเทคนิคอื่น ๆ ราคา การจอง คลิกดูที่นี่ https://www.ford.co.th/showroom/ppvs/ford-everest/
จบการรีวิวรถแบบไม่ใช่รีวิวรถ เพราะรถคือยานพาหนะที่จะพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งความสุข ได้ไปเที่ยว ไปและกลับสบายใจ ปลอดภัย ราบรื่นตลอดเส้นทาง แค่นี้ก็ถือว่า บรรลุเป้าหมายของการขับรถออกจากบ้านแล้ว