‘เฮ็ดดิ คราฟท์’สร้างอาชีพผู้พิการ
เปลี่ยนงานวิจัยสู่การลงมือทำจริงๆ
เพิ่งกลับจากไปลงพื้นที่ในจังหวัดสกลนคร ดูการทำงานน่าทึ่งและรู้สึกดีต่อใจของอาจารย์น้องและอาจารย์แจน จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มจธ. ก็เลยอยากเล่าให้ฟังค่ะ
Handicraft มาพ้องกับคำว่า เฮ็ด , เฮ็ดดิ ในภาษาอีสาน ซึ่งหมายถึงลงมือทำ ลุยโลด ทำโลด จึงกลายมาเป็นชื่อแบรนด์ เฮ็ดดิ คราฟ์ ของกลุ่มผู้พิการ ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มเป้าหมาย หลักสูตรการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่น ในโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ณ ศูนย์การเรียนรู้บ้านนางอย อ.เต่างอย จ.สกลนคร
ผศ.วรนุช ชื่นฤดีมล หัวหน้าหลักสูตรฯ และ ผศ. ดร.บุษเกตน์ อินทรปาสาน ทั้งสองท่านเป็นอาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้ลุยโครงการนี้ในพื้นที่ทำงาน ศูนย์การเรียนรู้บ้านนางอย อ.เต่างอย จ.สกลนคร มานานกว่า 3 ปีแล้ว กลุ่มเป้าหมายคือผู้พิการ ซึ่งมีความหลากหลายทั้งพิการทางร่างกาย สติปัญญา และการได้ยิน
เส้นทางของ เฮ็ดดิคราฟ์
หลักสูตรการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่น ในโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เริ่มจากปี ตั้งแต่ปี 2564 – 2566 มีผู้พิการเข้ารับการอบรมในหลักสูตร 43 คน
ส่วนใหญ่พิการด้านการเคลื่อนไหว แขนขาอ่อนแรง สายตาเลือนรางและพิการทางการได้ยิน แบ่งเป็น
รุ่นที่ 1 จำนวน 19 คน ได้รับงบสนับสนุนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
รุ่นที่ 2 จำนวน 12 คน และรุ่น 3 จำนวน 12 คน ได้รับงบประมาณจากบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการ มาตรา 35 กำหนดให้สถานประกอบการรับผู้พิการเข้าทำงาน หากไม่สามารถผู้พิการเข้าทำงานได้ จะต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ หรือสนับสนุนเงินทุนให้หน่วยงานที่ทำงานด้านพัฒนาอาชีพให้ผู้พิการ ทาง มจธ.จึงอาสาทำงานสนับสนุนผู้ประกอบการ โดยใช้งบจากสถานประกอบการนั้นๆ มาพัฒนาผู้พิการให้มีอาชีพ
รูปแบบการอบรม
หลักสูตรการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่น ออกแบบไว้ชัดเจนว่าในแต่ละปี จะเรียนรู้อะไรบ้าง ดังนี้
ปีที่ 1 เน้นฝึกพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นทุกอย่าง ปรับ mind set การสร้างความมั่นใจในตนเอง การสื่อสาร และการเข้าสังคม เพราะผู้พิการส่วนใหญ่จะเก็บตัวอยู่บ้าน รวมถึงสอนการออกแบบ การถักทอและการย้อมคราม
ปีที่ 2 สอนทักษะงานฝีมือและเปลี่ยนจากครามเป็นการใช้สีธรรมชาติที่ได้จากท้องถิ่น เช่น ดอกฝักคูน ดาวเรือง ฝาง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นรูปต่างๆ ตามจินตนาการ เพื่อสร้างจุดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมากขึ้น อาทิ เห็ดนำโชค ไม้เท้า สายรุ้ง หรือเต่า เป็นของประดับตกแต่ง
ควบคู่ไปกับเริ่มให้ความรู้การเป็นผู้ประกอบการ สอนเรื่องของการตลาด ซึ่งจะทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นศักยภาพตัวเองว่า ชอบหรือถนัดอะไร
“ไม่ใช่ทุกคนอยากเป็นผู้ประกอบการ บางคนชอบทำงานคนเดียว ไม่ชอบทำงานกลุ่ม หรือบางคนอยากเป็นแค่ผู้ผลิต ซึ่งก็สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากหลักสูตรไปประกอบอาชีพเองที่บ้านได้ ”
ปีที่ 3 นอกจากจะได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เหมือนใครในพื้นที่แล้ว ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของสมาชิกกลุ่มเป้าหมาย ที่จะก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการด้วยทุนและการบริหารจัดการด้วยตนเอง
ทางอาจารย์แจน และอาจารย์น้อง จะคัดเลือกผู้ที่พร้อมและมีทักษะสามารถจะเป็นผู้ประกอบการได้ด้วยตัวเองสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้สามารถทำงานระบบออฟฟิศได้ มาพัฒนาต่อยอด
เคล็ดลับถ่ายทอดความรู้
จุดเริ่มต้นความสำเร็จของกลุ่มผู้พิการ เฮ็ดดิคราฟ์ มาจากใจที่อยากทำ อยากฝึกและมีความตั้งใจ ทางอาจารย์ผู้สอน ใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่เป็นวิชาการมากนัก ใช้สัญลักษณ์ ใช้ภาพ ช่วยให้จำได้ง่ายขึ้น
ระหว่างเรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ได้รับเบี้ยเลี้ยง อาหารกลางวันและค่าเดินทาง
กำเนิดแบรนด์เฮ็ดดิคราฟ์
ใน 2 รุ่นที่ผ่านมา กลุ่มได้รวมตัวกันเป็นผู้ประกอบการในพื้นที่ ( Local Enterprise) ด้วยทุนของสมาชิกเองทั้งหมด มีผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบทั้งหมดจากในพื้นที่ มีทั้ง สีเทียน เทียนหอม เชือกถัก เสื้อ กระเป๋าผ้าย้อมสีธรรมชาติ และผ้าย้อมคราม ภายใต้แบรนด์“เฮ็ดดิ คราฟท์ ”
ผงสีจากธรรมชาติ
มาปีนี้ ได้ต่อยอด ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่นสู่ เป็น“ผงสีธรรมชาติจากพืช” นำวัสดุเหลือทิ้งจากธรรมชาติมาผลิต ภายใต้แนวคิด Zero Waste ที่ไม่เหลือขยะทิ้งไว้
ผงสีจากพืชธรรมชาติที่ผลิตได้จริง เป็นผงสีจากต้นคราม ฝาง สาบเสือ หูกวาง หางนกยูง ดาวเรือง ฝักคูน เปลือกประดู่ มะม่วง เพกา และเมล็ดคำแสด ซึ่งนำมาผ่านกระบวนการผลิตแบบพื้นบ้าน ได้เป็นผงสีนำไปเป็นส่วนผสมทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ เทียนหอม ธูปหอม สีเทียน สำหรับวาดภาพที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้และดีต่อสิ่งแวดล้อม
ในอนาคตจะนำผงสีจากธรรมชาติต่อยอดเข้าสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อาหาร เพื่อขยายตลาด ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบจากนักวิจัยในห้องแลป
จากผู้เข้าอบรมขยับมาเป็นเทรนเนอร์
จากความสำเร็จของการทำผงสีจากธรรมชาติ ทางหลักสูตรได้ถอดบทเรียนออกมาเป็นองค์ความรู้ 7 ขั้นตอน ปัจจุบันกำลังถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับนักศึกษา NAFA (Nanyang Academy of Fine Arts) จากประเทศสิงคโปร์ จำนวน 30 คน ที่มาร่วมทำ workshop กับกลุ่มคนพิการเฮ็ดดิ ในช่วงปิดเทอม โดยมีกลุ่มผู้พิการทำหน้าที่เป็นครูพี่เลี้ยง
หลังจากจบการฝึก นักศึกษาเหล่านี้จะออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อกลับไปจัดนิทรรศการที่ประเทศสิงคโปร์
วันนั้นยืนดูก็รู้สึกใจพองฟู เพราะเป็นภาพที่น่าทึ่งมาก เมื่อนักศึกษาด้านศิลปะจาก NAFA กำลังเรียนรู้วิธีทำผงสีจากใบไม้ ดอกไม้ที่เก็บมาจากภายในหมู่บ้าน โดยมีครูผู้สอนเป็นผู้พิการ แม้จะไม่รู้ภาษาอังกฤษ บางคนพิการทางการได้ยิน บางคนพิการทางสติปัญญา แต่สามารถถ่ายทอดความรู้ให้นักศึกษาต่างชาติด้วยการทำให้ดู ควบคู่ไปกับอาจารย์จากมหาวิทยาลัยทำหน้าที่ล่าม
กลุ่มครูพี่เลี้ยงที่โดนแซวว่า เป็นเดอะเทรนด์เนอร์ยิ้มกว้างเอียงอาย ก่อนจะบอกว่า ดีใจและภูมิใจที่ทำหน้าที่นี้ได้ ตอนนี้สมาชิกกลุ่ม แบ่งหน้าที่กันชัดเจน มีทั้งเป็นแอดมินเพจ ทำหน้าที่ไลฟ์แนะนำสินค้า เป็นฝ่ายผลิต ฝ่ายขาย มีผู้จัดการกลุ่ม ทำหน้าที่บริหาร
ก้าวต่อไปสร้างอาชีพยั่งยืน
ผศ. ดร.บุษเกตน์ อินทรปาสาน อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มจธ. บอกว่า สมาชิกตกลงร่วมกันเป็นผู้ประกอบการ Local Enterprise แม้จะยังไม่ได้เป็น Social Enterprise ทุกคนเลือกเป็นผู้ถือหุ้นกันเอง 100% ต่อไปมหาวิทยาลัยจะเป็นเพียงพี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษา ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเรื่องผลกำไรกับทางกลุ่ม ซึ่งถือเป็นความสำเร็จหนึ่งของ Sustainable Development Goals (SDGs) ในการมีคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน การสร้างอาชีพและสร้างรายได้
“สิ่งที่มหาวิทยาลัยได้รับจากการทำหลักสูตรนี้ คือ สามารถตอบโจทย์ของมหาวิทยาลัยที่มุ่งพัฒนามหาวิทยาลัยเป็น The Sustainable Entrepreneurial University รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนกับมหาวิทยาลัย”
ก้าวต่อไปคือการหาตลาดใหม่ๆ นอกจากตลาดสถาบันการศึกษา ปีหน้าถ้ามีโอกาส จะพาไปพบผู้ซื้อ ให้รู้จักลูกค้าได้เรียนรู้ประสบการณ์มากขึ้น เพราะการตลาดนั้นจะต้องหาลูกค้าให้ได้ก่อนว่า ลูกค้าของเราเป็นใคร แล้วค่อยมาทำผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการ
จากทฤษฎีสู่การนำไปใช้ได้จริงๆ
รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ. บอกว่า มจธ.เข้ามาทำงานในพื้นที่สกลนครมานานแล้ว เริ่มจากงานส่งเสริมสินค้าเกษตร ในโครงการพระราชดำริ โครงการหลวง งานพัฒนาชุมชน ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ระยะหลังเริ่มเห็นคนหนุ่มสาวเข้าเมือง แล้วโอกาสกลับมาบ้านมีน้อย ในหมู่บ้านมีคนแก่ คนพิการเพิ่มขึ้น จึงออกแบบหลักสูตร หากสามารถช่วยให้ผู้พิการดูแลตัวเองได้ มีรายได้ ไม่เป็นภาระ ครอบครัวก็จะมีความสุข
การทำงานแบบนี้แม้จะเหนื่อย แต่ทำให้เห็นว่า เราสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ เอาทฤษฎีมาเปลี่ยนเป็นภาคปฏิบัติ งานวิจัย งานวิชาการ นั้น สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลง เป็นเครื่องมือช่วยให้ชีวิตของผู้คนในกลุ่ม 15% ล่างของประเทศเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้จริงๆ
https://www.facebook.com/Heddicrafts
บรรณาธิการเทคโนโลยี
อาดิดาส ร่วมกับ เดวิด เบ็คแฮม ส่งต่อแรงบันดาลใจให้นักเตะรุ่นใหม่
ดีเจ๋นรีบไปดูถั๊วะเทศกาลการเรียนรู้ TK Park พามองโคราชผ่านแมวสีสวาด