โครงการ KFC Bucket Search เป็นความร่วมมือระหว่างเคเอฟซี ประเทศไทย และกองทุนเพื่อความเสมภาคทางการศึกษา (กสศ.)
โครงการ KFC Bucket Search มีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษาให้สามารถกลับมาเรียนรู้และพัฒนาทักษะวิชาชีพ เพื่อโอกาสในการทำงานและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเน้นแนวคิด ” ทุกศักยภาพไม่ควรถูกทอดทิ้ง”
โครงการนี้ ได้ออกแบบหลักสูตร work & study ที่ยืดหยุ่น โดยนำประสบการณ์จากการทำงานจริงของเคเอฟซีมาแปลงเป็นหน่วยกิต เพื่อให้เยาวชนมีวุฒิการศึกษา พร้อมกลับคืนสู่สังคมอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ยังได้พัฒนาทั้ง hard skills และ soft skills เพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนในหลากหลายอาชีพ ไม่จำกัดว่าจะต้องทำงานกับเคเอฟซีเท่านั้น
ปี 2568 เป็นการทำงานต่อเนื่อง เป็นรุ่นที่ 2 ทางโครงการ KFC Bucket Search ตั้งเป้าปีนี้จะช่วยเหลือเยาวชนเพิ่มให้ได้ 1,000 คน จากที่มีอยู่ในโครงการ รวม 430 คน ซึ่ง กสศ.เป็นผู้คัดเลือก เพื่อให้เยาวชนได้กลับมาเรียน ฝึกฝนทักษะ และวิชาชีพ แล้วเดินตามความฝันให้ได้อีกครั้ง
ทุกศักยภาพไม่ควรถูกทอดทิ้ง
นางสาวภัทรา ภัทรสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายบริหารแบรนด์ เคเอฟซี ประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า ปีนี้ยังเน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นเยาวชนกลุ่มเปราะบาง กลุ่มสถานพินิจ และ กลุ่มฅนวัยใส เปิดเทอมใหม่นี้ เคเอฟซีอยากพาเด็ก ๆ ที่หลุดจากระบบการศึกษากลับมาเรียนอีกครั้ง ผ่านโรงเรียนนอกกรอบของเคเอฟซี กับหลักสูตรทักษะอาชีพและการเป็นผู้ประกอบการ ที่สามารถนำประสบการณ์ทำงานจริงมาเป็นหน่วยกิตเรียนจบ ม.6 ได้
“โรงเรียนนอกกรอบเคเอฟซีไม่ใช่แค่ห้องเรียน แต่เป็นพื้นที่ ที่ตั้งใจเปิดให้น้องๆ ได้กลับมาค้นพบศักยภาพของตนเอง โดยผสานการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ชีวิตและประสบการณ์การทำงานจริงกับเคเอฟซี เพื่อให้น้องๆ สามารถต่อยอดชีวิตและกลับคืนสู่สังคมได้อย่างมั่นใจและมีคุณค่า”
โรงเรียนนอกกรอบเคเอฟซี
ห้องเรียนนอกกรอบเคเอฟซี เริ่มต้นตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาร้าน รับคำสั่งซื้อ การสนทนา ก็เป็นวิชาภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ การงานอาชีพ บริเวณตู้กดน้ำแข็ง น้ำอัดลม โต๊ะรับประทานอาหาร ก็เป็นวิชาสุขศึกษา วิชาการบริการและสุขาภิบาลอาหาร ฯลฯ
นำประสบการณ์จากการทำงานมาเปลี่ยนเป็นหน่วยกิตในรายวิชาต่างๆ ครบทั้ง 8 กลุ่มสาระ 14 หน่วยการเรียนรู้ แล้วนำไปเทียบวุฒิการศึกษา ครูผู้สอนก็คือ พี่พนักงานในร้านเคเอฟซี ซึ่งจากการทำงานมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เคเอฟซีพบว่า พี่พนักงานประจำร้านตื่นเต้น และกระตือรือร้นที่จะถ่ายทอดวิชาให้กับน้องๆ โรงเรียนนอกกรอบ ได้เพิ่มบทบาทจากพนักงานมาเป็น”ครู”
จากข้อมูลของเอเอฟซี ระบุว่า ปัจจุบันน้องๆ รุ่นแรกจำนวน 130 คน กว่าครึ่งเลือกที่จะทำงานและเรียนควบคู่กันไป ในสายสามัญ สายอาชีพ บางคนเลือกเรียนต่อระดับปริญญาตรี ที่เหลือก็เลือกทำงานตามความถนัด ทั้งงานบริการ งานช่าง และสายดนตรี
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าฝ่ายบริหารแบรนด์ เคเอฟซี ประเทศไทย ยอมรับว่า จากการทำงานในปีแรก พบว่า สิ่งที่ต้องเติมเต็มให้กับน้องๆ เยาวชนกลุ่มเปราะบางคือเรื่องของการพัฒนาจิตใจ การให้กำลังใจ และ ความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งการทำงานในรุ่น 2 จะต้องใส่เพิ่มแบบคูณสอง
กฤษณะภัส เรืองฤทธิ์ เยาวชนจากโครงการ KFC Bucket Search รุ่นแรก
ผมเลือกทำให้ทุกคนเชื่อว่า เราสามารถเปลี่ยนตัวเองได้
” ผมมีโอกาสมาเล่นดนตรีในงานเปิดตัวโครงการ Bucket Search เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว หลังวงชนะการประกวดวงดนตรี DJOP Music Contest ของทางกรมพินิจฯ และได้รับโอกาสจากเคเอฟซีไปออกงาน ได้ร้องเพลงเล่นดนตรี รู้สึกมีความสุขเวลาคนเห็นเราร้องเพลง จึงอยากทำมันให้ดี เป็นอาชีพได้ ผมเลือกทำให้ทุกคนเชื่อว่า เราสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ ไม่ได้กังวลกับการใช้ชีวิตข้างนอกเพราะได้รับโอกาสจากหลายๆ คนที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสทางการศึกษาหรือการได้ทำในสิ่งที่ชอบ” เป็นคำพูดของ น้องเอิร์ท กฤษณะภัส เรืองฤทธิ์ เยาวชนจากโครงการ KFC Bucket Search รุ่นแรก
ภาพยนตร์โฆษณา และความเคลื่อนไหวของโครงการ KFC Bucket Search ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก KFC Foundation TH
มนธการ แซ่โต๋ว ห้องเรียน ปั้นช่างตัดผม
ห้องเรียนแบบยืดหยุ่นเหมาะกับการใช้ชีวิตของผม
มนธการ แซ่โต๋ว หรือ มาร์ค วัย 21 จากห้องเรียน ปั้นช่างตัดผม ขวัญใจคนทั้งหมู่บ้าน หนองสนิท สุรินทร์ บอกกับผู้เขียนด้วยแววตามุ่งมั่น ว่าเค้านั้นจบการศึกษาชั้น ม.ปลายแล้ว ด้วยการเรียนจากห้องเรียนตัดผม
หลายปีก่อน มาร์ค เรียนจบแค่ชั้น ม.3 เพราะไม่มีเงินเรียนต่อ จึงเลือกเข้ามาทำงานที่ปทุมธานีนาน 3 ปีก่อนจะกลับไปสุรินทร์ เมื่อ กสศ.มีโครงการเรียนแบบยืดหยุ่น จึงเข้ามาสมัครเรียนกับห้องเรียนตัดผม
“หยุดเรียนไปถึง 3 ปี พอกลับมาเรียนใหม่ แรกๆ ก็ยากเหมือนกัน เพราะลืมไปแล้ว แต่การฝึกตัดผม ทำงานในร้านตัดผม เอาหน่วยกิตไปเทียบวุฒิทำให้ผมจบ.ปลายได้ วันที่ 5 พ.ย.นี้ จะเริ่มไปทำงานในร้านเคเอฟซี สาขาสุรินทร์ในตำแหน่งกุ๊ก”
ทุกที่คือโรงเรียน
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ( กสศ.) กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุด ปี 2568 ประเทศไทยยังมีเด็กและเยาวชน อายุ 3-24 ปี หลุดจากระบบการศึกษา จำนวน 880,463 คน
จากการสำรวจของ กสศ. พบว่า เด็กและเยาวชนจำนวนมากที่หลุดจากระบบการศึกษา ไม่มีเป้าหมายทางการศึกษาและอาชีพที่ชัดเจน ไม่มีแผนการศึกษาในอนาคต แต่ต้องการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ มากกว่าการเรียนแบบวิชาการในระบบเดิม
แคมเปญ “เพราะทุกที่คือโรงเรียน” เป็น วิสัยทัศน์ร่วมของภาคส่วนต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนหลุดจากระบบการศึกษา ด้วยรูปแบบ การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น (Flexible Learning) ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานที่ ทุกเวลา โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ร่วมจัดการเรียนรู้ เด็กไม่จำเป็นต้องเรียนเฉพาะในโรงเรียนแบบเดิม แต่สามารถเรียนรู้ผ่านพื้นที่เรียนรู้หลากหลาย การทำมาหาเลี้ยงชีพ กิจกรรมในชีวิตจริง บริบทของชุมชน หรือแม้แต่ในสถานประกอบการ นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเป็นครูได้
“โรงเรียนของเด็กบางคนอาจไม่มีอาคาร แต่ต้องมีคุณภาพ และต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเท่าเทียม” ดร.ไกรยส กล่าว
ภาคเอกชนอยากเข้าร่วมต้องทำอย่างไร
หากต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนารูปแบบการศึกษายืดหยุ่น เป็นอาสาสมัครในโครงการ “โรงเรียนเคลื่อนที่ Mobile School” หรือสามารถร่วมบริจาคเพื่อสนับสนุน กสศ. โดยได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี 2 เท่า สามารถติดต่อได้ที่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
โทร. 02-079-5475 (ไม่เว้นวันหยุดราชการ)
เว็บไซต์ www.eef.or.th
บรรณาธิการเทคโนโลยี
กรุงศรีออโต้โบรคเกอร์ใช้คานะ ผู้ช่วยออนไลน์บริการลูกค้าดิจิทัล
AIS 3BB FIBRE3 จัดหนักผ่านดีลเด็ดพรีเมียร์ลีกคู่เน็ตแรงถึงบ้านถึงร้าน
โพลล์ LINE TODAY พบข้อมูลครึ่งปีแรกคนไทยระวังการใช้จ่ายจากปัญหาเศรษฐกิจ